มงคลหมู่ที่ 1 ฝึกตนเองให้เป็นคนดี
การที่เราจะพันาตนเองให้มีความเจริญก้าวหน้าจำเป็นต้องฝึกตนเองให้เป็นคนดี เพราะการพันาตนเองมีเป้าหมายเพื่อให้เป็นคนดีที่โลกต้องการ การเริ่มต้นพันาจิตใจด้วย การสร้างความคิดเห็นที่ถูกต้อง ด้วยการปลูกฝังวินิจฉัยที่ดีให้กับใจ ให้สามารถแยกแยะได้ว่า อะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูก อะไรผิดอะไรควร อะไรไม่ควรแล้วเลือกที่จะคิด พูด และกระทำ แต่สิ่งที่ดีเพราะจากวินิจฉัยของคนเรานี้จะแสดงออกให้เห็นทางวาจา และการ กระทำ การย้ำคิดย้ำทำบ่อยๆ จะก่อให้เกิดนิสัยประจำตัว ซึ่งนิสัยของคนเราที่เป็นต้นแหล่งของวินิจฉัยได้มาจากสิ่งแวดล้อม คนรอบตัว เราคบกับคนอย่างไรบูชายกย่องใครเราก็จะค่อยๆ มีนิสัยไปตามเขา เพราะฉะนั้นผู้ที่ต้องการฝึกตนเองให้เป็นคนดีจึงต้องปฏิบัติตามมงคล ดังนี้
1. ไม่คบคนพาล คือการไม่ยอมมีพฤติกรรมสัมพันธ์ใดๆ กับคนพาล เป็นการป้องกันไม่ให้นิสัยไม่ดีความเห็นผิดๆ ทั้งหลายจากคนพาลมาติดต่อเราเข้า ป้องกันไม่ให้ถูก คนพาลกลั่นแกล้งทำร้ายเอาและมีหลักปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวันที่ห่างไกลจากคนพาล
2. คบบัณฑิต คือการเข้าไปมีพฤติกรรมใดๆร่วมกับบัณฑิต เพื่อถ่ายทอดเอานิสัยดีๆ ความเห็นที่ถูกต้องดีงาม เพิ่มพูนคุณธรรมต่างๆ มาสู่ตัวเรา และทำให้สามารถดำเนินชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
3. บูชาบุคคลที่ควรบูชา คือการแสดงออกถึงความเคารพ และตระหนักในคุณธรรมผู้ที่มีคุณธรรมสูงกว่า เพื่อประคับประคองนิสัยที่ดีสร้างความคิดเห็นที่ถูกต้องในตัวให้เจริญงอกงามขึ้นบุคคลที่ควรบูชาจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้เราดู และปฏิบัติตาม เป็นหลักใจของเรา ทำให้เกิดสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ เป็นผู้ไม่ประมาทสามารถฝึกตนให้เป็นคนดีได้
มงคลหมู่ที่ 2 สร้างความพร้อมในการฝึกตนเอง
เมื่อเราเริ่มต้นฝึกตนให้เป็นคนดี ด้วยการมีมาตรฐานความคิดเห็นที่ถูกต้องมีต้นแบบทางความคิดคำพูด และการกระทำที่ทำให้สามารถถ่ายทอดและพันาคุณธรรมความดีให้เจริญขึ้นแล้ว ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อมสร้างความพร้อมในการฝึกตนเองสามารถทำความดีได้อย่างสะดวก เพื่อจะได้ปรับปรุงตนเองได้อย่างดียิ่งขึ้น เพราะจะช่วยกระตุ้นให้เรามี ความกระตือรือร้นและเป็นปัจจัยสำคัญที่จะ สนับสนุนให้เราสามารถฝึกตนให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นประสบความสำเร็จทั้งชาตินี้ชาติหน้าจนถึงการบรรลุมรรคผลนิพพานเพราะฉะนั้นคนที่จะฝึกตัวเองได้ดีนั้นจะต้องมีคุณสมบัติดังนี้
4. อยู่ในถิ่นที่เหมาะสม หมายถึง การอยู่ในสถานที่ใดๆ ก็ได้ที่สิ่งแวดล้อมดี ไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่สุขภาพกายและใจ ยิ่งกว่านั้น ยังสนับสนุนให้ผู้อยู่อาศัยสามารถประกอบ กิจการงานในหน้าที่อันเป็นสัมมาอาชีพ ให้เจริญก้าวหน้าได้โดยง่าย และสามารถสร้างสมคุณงามความดีได้เต็มที่ มีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ อาวาส เป็นที่สบาย อาหารเป็นที่สบาย บุคคลเป็นที่สบาย และธรรมะเป็นที่สบาย อยู่ในถิ่นที่เหมาะสมนี้ ทำให้รอบ ๆ ตัวมีแต่คนดี เราก็มีโอกาสเป็นคนดี ถ่ายทอดคุณธรรมจากท่านได้สะดวก จะหาความรู้จะฝึกฝีมือ จะฝึกวินัย ฝึกพูด ก็หาคน อนได้ง่าย ยังเอื้ออำนวยให้สั่ง มความดีเพื่อประโยชน์ทั้งชาตินี้และชาติหน้า
5. มีบุญวาสนามาก่อน คือสร้างบุญมาดี ทั้งบุญเก่า บุญใหม่ มีความคุ้นในการสั่งสมบุญกิริยาวัตถุ 10 อย่างไม่ขาดตอนบุญเก่าที่ทำมาในอดีตชาติ ก็ทำให้เป็นคนมีร่างกายแข็งแรงสติปัญญาเฉลียวฉลาด ไหวพริบปฏิภาณไว อารมณ์แจ่มใสเบิกบาน มีบุญคอยส่งอยู่ จะร่ำเรียนเขียนอ่าน ทำการงานอะไรก็ก้าวหน้าได้เร็วกว่าคนอื่น บุญใหม่ที่ทำในชาตินี้การตั้งใจขยันหมั่นเพียร หมั่นทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ก็จะคอยช่วยหนุนอีกชั้นหนึ่ง ยิ่งถ้าใครบุญเก่าก็ดี บุญใหม่ก็ขวนขวายทำ ยิ่งก้าวหน้าได้เร็วเป็นทวีคูณสามารถฝึก ตัวเองได้ง่าย
6. ตั้งตนชอบ คือมีเป้าหมายชีวิตที่ถูกต้องทั้งระยะสั้น ระยะปานกลาง และเป้าหมายสูงสุดไม่เป็นคนโลเล ดำเนินชีวิตไปอย่างมีจุดมุ่งหมาย รู้ว่าควรจะฝึกฝนความสามารถและคุณธรรมอะไรเพื่อให้มุ่งหน้าสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ย่อมมีความกระตือรือร้นทุ่มเทพลังความสามารถของตน เพื่อฝึกตนเองให้บรรลุเป้าหมายนั้นได้อย่างเต็มที่ ทำให้เป็นผู้มีความพร้อมในการฝึกตัวเองสูง
มงคลหมู่ที่ 6 ปรับเตรียมภาพใจให้พร้อม
จากมงคล 18 มงคลแรกเป็นเรื่องของการครองตนครองชีวิตโดยเฉพาะสำหรับมนุษย์ทุกคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนารวมถึงสามารถนำมาใช้ในการปรับปรุงองค์กรด้านธุรกิจสังคมการเมืองการปกครอง เป็นการปรับปรุงอย่างเป็นขั้นตอนให้มีความเจริญก้าวหน้าประสบความสำเร็จส่วน 20 มงคลหลัง เป็นเรื่องของการพัฒนาตนเองให้สูงขึ้น เป็นเรื่องการฝึกพันาจิตใจ เพิ่มพูนคุณธรรมให้ยิ่งๆขึ้นไป จนกระทั่งหมดกิเล เป็นพระอรหันต์
ในมงคลหมู่ที่ 6 การปรับเตรียม ภาพใจให้พร้อม เพื่อพันาตนเองให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นด้วยการฝึกใจให้มีคุณธรรมมากขึ้นมีกิเลสเบาบางลงตามลำดับขั้น เพื่อว่านอกจากจะสงเคราะห์ตนเองให้ดีขึ้นแล้ว เมื่อถึงคราวจะ งเคราะห์ญาติสงเคราะห์สังคม และสงเคราะห์โลก จะได้สงเคราะห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราต้องฝึกดังนี้
19. งดเว้นจากบาป หมายถึง การกระทำใด ๆ ทั้งทางกาย วาจา ใจ ที่เป็นความชั่ว ความร้ายกาจทำให้ใจเศร้าหมอง เสียคุณภาพอันดีไป ถ้าเคยทำอยู่ก็จะงดเสีย ที่ยังไม่เคยทำก็ละเว้นไม่ยอมทำโดยเด็ดขาดเพราะการกระทำนั้นเป็นบาป บาปนั้นจะมาหุ้มใจ ทำให้ใจเสียคุณภาพ รองรับธรรมะไม่ได้ ดังนั้นคนที่ยังทำบาปสารพัดอยู่ ไม่ยอมเลิก จึงไม่มีทางที่จะฝึกได้เลย คนที่จะงดเว้นบาปได้ต้องมีความละอายใจ และเกรงกลัวต่อโทษภัยที่เกิดจากการทำบาป
20.สำรวมจากการดื่มน้ำเมา หมายถึง การระมัดระวังเมื่อใช้สิ่งเสพย์ติดทั้งหลายในการรักษาโรคและเว้นขาดจากการเสพสิ่งเสพย์ติดให้โทษทุกชนิดไม่ว่าโดยวิธีใดก็ตาม เพราะของมึนเมาเสพย์ติดทั้งหลายจะทำให้เราขาด ติ และใจที่ขาด ตินั้นก็ไม่สามารถฝึกคุณธรรมใดๆ ได้ เช่น ลองไปพูดธรรมะให้คนเมาเหล้าฟัง ว่าเขาจะรู้เรื่องหรือไม่
21. ไม่ประมาทในธรรม หมายถึง ไม่ประมาทในเหตุ ให้มีสติรอบคอบกำกับอยู่เสมอ ไม่ว่าจะคิดจะพูด จะทำสิ่งใดๆ ไม่ยอมถลำลงไปในทางที่เสื่อม ตระหนักดีถึงสิ่งที่ต้องทำ ถึงกรรมที่ต้องเว้นตั้งใจทำเหตุที่ดีอย่างเต็มที่ เพื่อให้คุณธรรมความดีดำเนินรุดหน้าตลอดเวลา เพราะสรุปคำสอนในพระพุทธศาสนา คือสอนให้เราไม่ประมาท
เนื่องจากผู้ที่ประมาทมักจะปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม คิดแต่ว่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เรายังอายุน้อยอยู่ รอแก่ๆ ค่อยทำความดี หรือ ไม่เป็นไรหรอกน่า เรายังแข็งแรง ทำเมื่อไรก็ได้ หรือ ไม่เป็นไรหรอกน่าเรายังมีชีวิตอีกนาน ทำเมื่อไรก็ได้ เขาเหล่านี้เมาแล้วในความเป็นหนุ่มเป็นสาว ในความไม่มีโรค ในความคิดว่ายังไม่ตาย จึงไม่ยอมทำความดี
มงคลหมู่ที่ 7 การแสวงหาธรรมะเบื้องต้นใส่ตัว
เมื่อเราเตรียมสภาพใจของเราไว้พร้อมด้วยการแก้ไขปรับปรุง ให้เป็นผู้ที่ไม่ข้องแวะกับสิ่งที่เป็นบาป สิ่งที่ทำลายสติสัมปชัญญะ และเป็นผู้ที่มีความกระตือรือร้น ไม่ปล่อยชีวิตให้ไปตามยถากรรมแล้วเมื่อถึงมงคลหมู่ที่ 7 ก็เริ่มลงมือแสวงหาธรรมะเบื้องต้นใส่ตัวทีเดียว เป็นคุณธรรมที่จำเป็นสำหรับบุคคลผู้ที่ต้องการพันาตนเองให้มีความเจริญก้าวหน้าทุกคน เพื่อนำมาปรับปรุงความประพฤติของตนให้สมบูรณ์ ผู้จะแสวงหาธรรมะใส่ตัวได้ จำเป็นต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
22. ต้องมีความเคารพ หมายถึง มีความตระหนัก ซาบซึ้ง รู้ถึงคุณความดีที่มีอยู่จริงของบุคคลอื่นยอมรับนับถือความดีของเขาด้วยใจจริง แล้วแสดงความนับถือต่อผู้นั้นด้วยการแสดงความอ่อนน้อม อ่อนโยนอย่างเหมาะสม ทั้งต่อหน้าและลับหลัง รู้ว่าจะเข้าไปหาคุณธรรมความดีได้จากใคร ทำให้มีโอกาสที่จะถ่ายทอดคุณความดีนั้นๆ จากผู้อื่นมาสู่ตนเอง ดังนั้น บุคคลที่มีความเคารพ จึงเป็นบุคคลที่มีปัญญา เพราะใจของเขาได้ยกสูงขึ้นพ้นจากความถือตัวต่างๆ เป็นใจที่เปิดกว้างพร้อมจะรองรับความดีจากผู้อื่นเข้าสู่ตน
23. ต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน หมายถึง การเอามานะทิฏฐิออก มีความสงบเสงี่ยม เจียมตนไม่ทะนงตน ไม่มีความมานะถือตัวไม่อวดดื้อถือดี ไม่ยโสโอหัง ไม่ดูถูกเหยียดหยามใครไม่กระด้างไม่เย่อหยิ่งจองหอง ดังนั้น คนที่มีความถ่อมตน จึงเป็นผู้ที่ปรารภตนเอง คอยตามพิจารณาข้อบกพร่องของตนเอง จับผิดตัวเองสามารถประเมินค่าของตนเองได้ถูกต้องตามความเป็นจริง มีจิตใจสูงสามารถน้อมตัวลง เพื่อถ่ายทอดคุณความดีของผู้อื่นเข้าสู่ตนเองได้อย่างเต็มที่
24. ต้องมีความสันโดษ เป็นคนรู้จักพอ รู้จักประมาณสุขใจพอใจกับของของตน ของสิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่ดีและสมควรกับตน คนมีความสันโดษทำให้จิตใจ งบ เยือกเย็น ดำเนินชีวิตอย่างมีสติสามารถรองรับคุณธรรมจากผู้อื่นได้เต็มที่ สามารถฝึกตนเองให้มีความเจริญก้าวหน้า เป็นไปเพื่อความเจริญสุขทั้งแก่ตนเองครอบครัว และสังคมประเทศชาติ คนที่ขาดสันโดษ ใจของเขาจะเต็มไปด้วยความเร่าร้อนกระวนกระวายกระหายอยากได้ มีสิบล้านก็ไม่พอจะเอาร้อยล้าน มีร้อยล้านก็ไม่พอจะเอาพันล้าน หมื่นล้าน ไม่รู้จักอิ่ม ซึ่งใจของคนชนิดนี้ไม่สามารถจะรองรับคุณธรรมได้ ไปฟังพระเทศน์เท่าไรก็ไม่ซึมซับเข้าไปอยู่ในใจ ลืมตาหลับตาเขาก็มองเห็นแต่ตัวเลขคิดแต่ว่าอยากรวยๆ ธรรมะจึงนึกไม่ออก
25. ต้องมีความกตัญูญู หมายถึง มีความตระหนักซาบซึ้งถึงบุญคุณ เป็นผู้มี ติใจใสกระจ่างมีติปัญญาบริบูรณ์ รู้อุปการะของบุญทั้งหลายที่ช่วยให้ตนได้ดีมีสุขในปัจจุบัน และรู้อุปการคุณของผู้อื่นที่กระทำแล้วแก่ตน พยายามหาทางตอบแทน ทำให้เป็นคนน่ารัก น่าเอ็นดู น่านับถือ จนใครๆ ก็เมตตาถ่ายทอดความรู้ คุณธรรมความดีต่างๆให้ ในวงการต่างๆ ผู้ที่มีความกตัญูรู้คุณ จะเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปแม้เราจะมีความเคารพ รู้ข้อดีของคนอื่นมีจุดมุ่งหมายแล้วว่าจะไปถ่ายทอดเอาคุณธรรมนั้นๆได้จากใคร มีความถ่อมตน ใจเราก็พร้อมที่จะน้อมไปรับคุณธรรมนั้น และมีความสันโดษ คือใจก็ งบพอที่จะรับเอาธรรมะนั้นๆมาไตร่ตรองให้เข้าใจได้ แต่ก็ยังไม่แน่ว่าเขาจะยอม อนเราหรือไม่ เราต้องเป็นคนมีความกตัญูรู้คุณคนด้วย เป็นการรับประกันตนเองว่าจะไม่เนรคุณภายหลัง คนอื่นจึงจะเมตตา อนธรรมะให้เราทำให้เราสามารถพันาตนเองให้มีคุณธรรมสูงขึ้นไปได้
26. ฟังธรรมตามกาล คือ การขวนขวายหาเวลาไปฟังธรรม ฟังคำสั่ง อนจากผู้มีธรรมะในทุกโอกาสที่อำนวยให้เพื่อยกระดับจิตใจและ ติปัญญาให้สูงขึ้นโดยเมื่อฟังธรรมแล้ว ก็น้อมเอาคุณธรรมเหล่านั้นมาเป็นกระจกสะท้อนดูตนเองว่า มีคุณธรรมนั้นหรือไม่ มีข้อบกพร่องต้องแก้ไขตรงไหน จะพันาคุณธรรมให้เพิ่มพูนขึ้นได้อย่างไร จะปรับปรุงคุณธรรมที่มีอยู่ให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปได้อย่างไร เพราะคนเรายังมีกิเลสอยู่ บางวันจิตใจผ่องใสเบิกบาน บางวันจิตใจหดหู่ เศร้าหมอง ยังไม่แน่นอน จึงต้องสำรวจปรับปรุงพันาตนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีความเจริญก้าวหน้าฝ่ายเดียว
มงคลหมู่ที่ 8 การแสวงหาธรรมะเบื้องสูงใส่ตัวให้เต็มที่
เมื่อเราฝึกใจจนได้คุณธรรมเบื้องต้น จากการมีความเคารพ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความสันโดษมีความกตัญญู จนได้รับการถ่ายทอดธรรมะจากผู้มีคุณธรรมสูงกว่า จากการฟังธรรมตามกาลแล้ว เปรียบได้กับเรากำลังก้าวเดินอยู่ในระหว่างเส้นทางแห่งความสำเร็จ เพื่อให้เราสามารถไปถึงเป้าหมายปลายทางจึงต้องฝึกพันาคุณธรรมให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไป จำเป็นต้องฝึกใจให้มากยิ่งขึ้นเพื่อรองรับคุณธรรมเหล่านี้ โดย
27. มีความอดทน มาจากคำว่า ขันติ หมายถึง การรักษาปกติภาวะของตนไว้ได้ ไม่ว่าจะถูกกระทบกระทั่งด้วยสิ่งอันเป็นที่พึงปรารถนาหรือไม่พึงปรารถนา มีความมั่นคงหนักแน่นเหมือนแผ่นดิน ซึ่งไม่หวั่นไหวความอดทนเป็นคุณธรรมพื้นฐานสำหรับต่อต้านความท้อถอย หดหู่ ก่อให้เกิดความขยัน จนชนะอุปสรรคต่างๆทำงานได้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายทั้งทางโลกและทางธรรม ขันติยังเป็นคุณธรรมพื้นฐานที่รองรับการพัฒนาคุณธรรมต่างๆในโลก ดังนั้นบุคคลที่จะเอาธรรมะต้องทนได้
28. เป็นคนว่าง่าย คือ เป็นผู้ที่อดทนต่อคำสั่งสอนได้ เมื่อมีผู้รู้แนะนำพร่ำสอนให้ ตักเตือนให้โดยชอบธรรมแล้ว ย่อมปฏิบัติตามคำสอนนั้น ด้วยความเคารพอ่อนน้อม ไม่คัดค้าน ไม่โต้ตอบ ไม่แก้ตัวโดยประการใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้สามารถรองรับการถ่ายทอดคุณธรรมมาฝึกตนได้มากเพราะผู้ที่เป็นคนดื้อ ว่ายากสอนยาก เปรียบเสมือนคนเป็นอัมพาต ถึงจะมีของดีๆ มาใกล้ตัวก็ไม่สามารถเอามาใช้ได้ คำสอนดีๆ คนดื้อก็ไม่รับ แสลงต่อคำสอน ทำให้คุณธรรมของตนไม่เจริญก้าวหน้า
29. สมณะ แปลว่า ผู้สงบ หมายถึง บรรพชิตที่ได้บำเพ็ญสมณธรรม ฝึกฝนตนเองด้วยศีลสมาธิปัญญา มาแล้วอย่างเต็มที่ จนกระทั่งมีกาย วาจา ใจสงบแล้วจากบาปท่านเป็นต้นแบบตัวอย่างมาตรฐานความประพฤติของชาวโลก การเห็นสมณะเป็นการเห็นอันประเสริฐ จะก่อให้เกิดศรัทธา เกิดกำลังใจในการสร้างความดี การประพฤติปฏิบัติธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
30. สนทนาธรรมตามกาล คือการพูดคุยซักถามธรรมะซึ่งกันและกัน ระหว่างคน 2 คนขึ้นไปมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดปัญญา เพื่อให้รู้ว่าสิ่งใดเป็นอกุศลธรรมความชั่ว จะได้ละเว้นเสียสิ่งใดเป็นกุศลธรรมความดี จะได้ตั้งใจทำให้มาก โดยรู้จักเลือกและแบ่งเวลาให้เหมาะสม ซึ่งจะทำให้ได้รับความเบิกบานใจ มีความสุขความเจริญและได้รับบุญกุศลไปในตัวด้วย รวมทั้งสามารถแสวงหาธรรมะเบื้องสูงใส่ตัวได้อย่างเต็มที่ เพื่อนำธรรมะนี้มากำจัดกิเลส ให้หมดสิ้นไป
มงคลหมู่ที่ 9 การฝึกภาคปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลส ให้สิ้นไป
จากการปฏิบัติตามหลักมงคลตั้งแต่มงคลหมู่ที่ 1 ฝึกตนเองให้เป็นคนดี ถึงมงคลหมู่ที่ 8 การแสวงหาธรรมะเบื้องสูงใส่ตัวอย่างเต็มที่แล้ว เราจะพบว่าได้ขัดเกลาพฤติกรรมที่ไม่ดีไปได้หลายประการรวมทั้งได้ปรับปรุงปลูกฝังพฤติกรรมและคุณธรรมที่ดีๆ จากผู้มีคุณธรรมสูงใส่ในตนได้อย่างเต็มที่จนมีความบริสุทธิ์กาย วาจา และใจเข้าใกล้เป้าหมายสูงสุดของชีวิต ในการพันาตนเองขั้นต่อไปเป็นก้าวที่สำคัญ ที่จะขัดเกลาอุปนิสัย พฤติกรรมที่ไม่ดีที่ยังคั่งค้างในใจให้หมดไป อย่างถอนรากถอนโคนด้วยการเริ่มปฏิบัติอย่างเข้มข้น ในมงคลหมู่ที่ 9 นี้จะเป็นการลงมือปฏิบัติฝึกฝนอย่างจริงจังเพื่อกำจัดกิเลส ให้หมดไปดังนี้
31. บำเพ็ญตบะ หมายถึง การทำความเพียรเผาผลาญกิเลส ทุกชนิดให้ร้อนตัวจนทนอยู่ไม่ได้ เกาะใจเราไม่ติด ต้องเผ่นหนีไป แล้วใจของเราก็จะผ่องใสหมดทุกข์ ด้วยการประพฤติธุดงควัตร 13 ประการทำให้คุณธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นในตัว และเข้าถึงนิพพานได้เร็ว อุปมาเหมือนการถลุงแร่ ด้วยความร้อนจนเหลือแต่แร่ที่บริสุทธิ์เท่านั้น
32. ประพฤติพรหมจรรย์ แปลว่า การประพฤติตนอย่างพระพรหม หรือความประพฤติอันประเสริฐหมายถึง การประพฤติตามคุณธรรมต่างๆทั้งหมดในพระพุทธศาสนาให้เคร่งครัดยิ่งขึ้น ภายหลังจากบำเพ็ญตบะจนกิเลส เบาบางไปแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้กิเลส ฟูกลับขึ้นมาอีก ต้องตัดโลกียวิสัยตัดเยื่อใยทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องยกใจออกจากกามอันเป็นที่มาของความเสื่อม และจะนำความทุกข์นำกิเลส มาสู่ใจของเราอีก ซึ่งต้องปฏิบัติผ่านขั้นตอนต่างๆ ตามภูมิชั้นของจิต เลื่อนภูมิจิตของเราให้สูงขึ้นมุ่งหน้าสู่โลกุตตรภูมิ จนกระทั่งหมดกิเลส
33. อริยสัจ 4 คือความจริงอันประเสริฐ ความจริงที่ทำให้บุคคลผู้เห็นเป็นผู้ประเสริฐ เป็นความจริงที่มีอยู่คู่โลกแต่ไม่มีใครเห็น จนกระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ คือทั้งรู้และเห็นแล้ว ทรงชี้ให้เราดูพร้อมทั้งสอนให้ปฏิบัติธรรมฝึกสมาธิเพื่อได้รู้เห็น และหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้เช่นเดียวกับพระองค์
เห็นอริยสัจ คือตั้งใจปฏิบัติธรรมฝึกสมาธิต่อไปอีกอย่างยิ่งยวดจนเกิดปัญญาสว่างไสวเห็นอริยสัจ 4 ด้วยธรรมจักษุ รู้แจ้งทุกข์ที่แท้จริงสาเหตุแห่งความทุกข์ วิธีปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์อย่างแท้จริง และภาพของจิตของบุคคลที่หมดกิเลสอย่างสิ้นเชิง
34. ทำนิพพานให้แจ้ง คือเมื่อเห็นอริยสัจในเบื้องต้นแล้วก็ตั้งใจเจริญภาวนาต่อไป ประคองใจหยุดนิ่งไปเรื่อย ๆ พิจารณาอริยสัจไปตามลำดับให้ใจละเอียดอ่อนยิ่งขึ้นจนทำนิพพานให้แจ้งได้ กิเลส ต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ล่อนหลุดไปจากใจตามลำดับจนหมดกิเลส
เป็นพระอรหันต์ พ้นการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารได้ในที่สุด
มงคลหมู่ที่ 10 ผลจากการปฏิบัติธรรมจนหมดกิเลส
ผลจากการปฏิบัติธรรมจนหมดกิเลสเมื่อเราอาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยแล้วก็จะมีผลตามมา ซึ่งเราอาจบรรยายได้หลายลักษณะ เช่นไม่สกปรก ไม่เลอะเทอะ ไม่เหนียวเหนอะหนะสะอาดสดชื่นผ่องใสในทำนองเดียวกัน เมื่อเราปฏิบัติฝึกฝนตนเองตามลำดับจนกระทั่งทำนิพพานให้แจ้ง กิเลสต่างๆร่อนหลุดไปจากใจถึงเป้าหมายสูงสุดของการพันาตนเองตามหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราก็อาจบรรยายภาพจิตของเราในขณะนั้นได้หลายลักษณะ เช่น
35. จิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม คือ ภาพจิตของผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว มีใจตั้งมั่น มีความหนักแน่นเหมือนขุนเขาเป็นอุเบกขาไม่ยินดียินร้ายในลาภ ยศ สรรเสริญสุข หรือเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทาทุกข์อีกต่อไป
36. จิตไม่โศก คือ ภาพจิตของผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้วหลุดพ้นจากยางเหนียวแห่งบ่วงเสน่หาไม่ลุ่มหลงในความรักอีกต่อไป มีใจที่อิ่มเอิบ ไม่แห้งผาก ผ่องใสไม่เศร้าหมอง
37. จิตปราศจากธุลี คือ ภาพจิตของผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว กิเลส ต่างๆ ทั้งหยาบทั้งละเอียดร่อนหลุดไปจากใจหมดเหมือนหยาดน้ำตกจากใบบัวอย่างนั้น
38. จิตเกษม คือ ภาพจิตของผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้วมีความสุข ปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งหลายอันเนื่องจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสังสารสามารถตัดโยคะ เครื่องผูกสัตว์ไว้ในภพทั้งสามได้ขาดสะบั้นโดยสิ้นเชิง จึงมีอิสระเสรีเต็มที่มีความรู้ความสามารถพิเศษเกิดขึ้นหลายประการ มีใจที่สะอาดผ่องใสบริสุทธิ์บริบูรณ์ สิ้นเชิงเข้านิพพานตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย